ลิเวอร์พูล ไร้ติอาโก้จัด “โชต้า” ตัวจริงรับมือ มิดทิลลันด์ ศึกชปล.

"หงส์แดง" หวังโกยอีก 3 แต้มหลังเกมนี้ได้กลับมาเฝ้ารังรับมือ มิดทิลลันด์ ทีมดังจากเดนมาร์ก ซึ่งเกมนี้ยังไร้ ติอาโก้ อัลกันตาร่า ห้องเครื่องตัวเก่งที่ยังมีอาการบาดเจ็บ ส่วนแนวรุกจะให้ ดีโอโก้ โชต้า ออกสตาร์ทตัวจริงประสานงานร่วมกับ 3 ประสานทั้ง โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่, ซาดิโอ มาเน่ และโมฮาเหม็ด ซาลาห์ ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม คืนวันอังคารที่ 27 ตุลาคม นี้
ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก กลุ่ม ดี
ลิเวอร์พูล (อังกฤษ) – มิดทิลลันด์ (เดนมาร์ก)       
วันอังคารที่ 27 ตุลาคม 2563 เวลา : 03.00 น.
สนาม : แอนฟิลด์

สภาพทีมโดยทั่วไป

ลิเวอร์พูล

    เจอร์เก้น คล็อปป์ เทรนเนอร์ลิเวอร์พูล พาทีมเบียดชนะอาแจ็กซ์ 1-0 ในนัดแรก ก่อนเชือดเชฟฯ ยูไนเต็ด 2-1 ในเกมลีกล่าสุด เป็นชัยชนะ 2 นัดติด 

    ความพร้อมเกมนี้ คล็อปป์ ออกมายืนยันแล้วว่า ติอาโก้ อัลกันตาร่า และ โฌแอล มาติป จะพลาดเกมเปิดรังรับทีมจากแดนโคนมเช่นเดียว ขณะที่ นาบี เกอิต้า แม้ผลตรวจโควิด-19ล่าสุดออกมาเป็นลบ แต่ยังต้องเช็กสภาพร่างกาย

    ส่วนพวกที่เดี้ยงอยู่ก่อนทั้ง เฟอร์กิล ฟาน ไดค์, อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน และ คอนสแตนตินอส ซิมิคาส ต้องพักยาวเหมือนเดิม

    สำหรับแกนหลักขาประจำรายอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, จอร์จินโย่ ไวนัลดุม, โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน่ รวมทั้ง ดีโอโก้ โชต้า ที่ซัดประตูชัยในเกมเปิดบ้านเฉือน เชฟฯยุไนเต็ด 2-1 น่าจะได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงเช่นกัน

มิดทิลลันด์

    ไบรอัน ปริสเก้ เทรนเนอร์มมิดทิลลันด์ พาทีมเปิดฉากรอบแบ่งกลุ่มได้อย่างน่าหดหู่ หลังแพ้อตาลันต้าเละ 0-4 แต่ก็แก้ตัวได้ด้วยการเบียดชนะบรอนด์บี้ 3-2 ในเกมลีกล่าสุด เป็นชัยชนะนัดที่ 3 ในรอบ 5 เกม 

    สภาพทีมเกมนี้ ปริสเก้ จะชวดใช้งาน โอลิเวอร์ โอลเซ่น และ คริสเตียน ริส ที่บาดเจ็บอยู่ก่อนแล้วเหมือนเดิม

    นอกจากนั้นไม่มีปัญหาอะไรรบกวนเพิ่ม แกนหลักประจำทีมรายอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น เอริค สเวียตเชนโก้, อเล็กซานเดอร์ โชลซ์, แฟร้งค์ ออนเยก้า, โซรี่ กาบ้า และ ปิยอน ซิสโต้ แนวรุกทีมชาติเดนมาร์ก ต่างพร้อมช่วยทีมทั้งหมด

นักเตะที่คาดว่าจะลงสนาม

    ลิเวอร์พูล (4-2-3-1) : อลีสซง เบ็คเกอร์ – เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, ฟาบินโญ่, โจ โกเมซ, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน – จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, จอร์จินโย่ ไวนัลดุม – ดีโอโก้ โชต้า, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่, ซาดิโอ มาเน่ – โมฮาเหม็ด ซาลาห์

    เทรนเนอร์ : เจอร์เก้น คล็อปป์

    มิดทิลลันด์ (4-2-3-1) : เยสเปอร์ ฮันเซ่น – โยเอล อันเดอร์สสัน, เอริค สเวียตเชนโก้, อเล็กซานเดอร์ โชลซ์, เปาลินโญ่ – เยนส์ คายุสเต้, แฟร้งค์ ออนเยก้า – อันเดอร์ส เดรเยอร์, ปิยอน ซิสโต้, อาเวอร์ มาบิล – โซรี่ กาบ้า  

    เทรนเนอร์ : ไบรอัน ปริสเก้

    ผู้ตัดสิน : พาเวล ราซคอฟสกี้ (โปแลนด์)

ผลการพบกัน 5 นัดหลังสุด
ไม่เคยพบกัน

ผลงาน 5 นัดหลังสุด
ลิเวอร์พูล
25/10/20 ชนะ เชฟฯ ยูไนเต็ด 2-1 (เหย้า) พรีเมียร์ลีก
21/10/20 ชนะ อาแจ็กซ์ 1-0 (เยือน) ชปล.
17/10/20 เสมอ เอฟเวอร์ตัน 2-2 (เยือน) พรีเมียร์ลีก
04/10/20 แพ้ แอสตัน วิลล่า 2-7 (เยือน) พรีเมียร์ลีก
01/10/20 เสมอ อาร์เซน่อล 0-0 (เหย้า) ลีก คัพ

มิดทิลลันด์
24/10/20 ชนะ บรอนด์บี้ 3-2 (เยือน) ซูเปอร์ลีกา
22/10/20 แพ้ อตาลันต้า 0-4 (เหย้า) ชปล.
17/10/20 ชนะ โอเดนเซ่ 3-1 (เหย้า) ซูเปอร์ลีกา
04/10/20 เสมอ ฮอร์เซ่นส์ 2-2 (เยือน) ซูเปอร์ลีกา
01/10/20 ชนะ สลาเวีย ปราก 4-1 (เหย้า) ชปล.

ไร้รามอส! มาดริดกู้หน้า “เบนเซม่า” นำทัพรับชัคตาร์ศึก ชปล.

"ราชันชุดขาว" เสียหน้าไม่น้อยหลังพ่ายน้องใหม่ กาดิซ ในเกมลีกส่วนความพร้อมนัดนี้ขาด เซร์คิโอ รามอส กัปตันทีมมีปัญหาอาการบาดเจ็บ แนวรุกไว้ใจ คาริม เบนเซม่า ล่าสกอร์ ทางด้าน ชัคตาร์ โดเนตส์ค แชมป์ลีก ยูเครน มี ไทซอน บัญชาทัพสู้ ในศึกฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม บี คืนวันพุธที่ 21 ต.ค. นี้
ปรีวิวฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม บี
วันพุธที่ 21 ตุลาคม 2563
เรอัล มาดริด – ชัคตาร์ โดเนตส์ค
เวลา : 23.55 น.
สนาม : เอสตาดิโอ อัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่

    "ราชันชุดขาว" ทีมแชมเปี้ยนลา ลีกา เพิ่งพุ่งชนผลปราชัยครั้งแรกในฤดูกาลนี้แบบงามไส้ด้วยน้ำมือทีมน้องใหม่ กาดิซ คาบ้าน 0-1

    ระหว่างเกมดังกล่าว เซร์คิโอ รามอส ปราการหลังกัปตันทีมถูกเปลี่ยนออกตอนพักครึ่งเพื่อป้องกันเจ็บเพิ่ม เมื่อมีมหาศึก "เอล กลาซิโก้" รับมือ บาร์เซโลน่า รออยู่ในสุดสัปดาห์นี้ และล่าสุดไม่มีชื่ออยู่ในทีมสำหรับเกมนี้แน่นอนแล้ว

    ในแนวรับยังไม่มีทั้ง ดานี่ การ์บาฆาล และ อัลบาโร่ โอดริโอโซล่า แบ็กขวานัดกันเดี้ยง เชื่อว่า นาโช่ เฟร์นานเดซ จะได้ออกสตาร์ต อีกฟากเป็น แฟร์กล็องด์ เมนดี้

    แดนกลาง มาร์ติน โอเดการ์ด สตาร์นอร์เวย์วืดแน่ๆ และยังต้องลุ้นฟิตเกมกลาซิโก้ ส่วน เอแด็น อาซาร์ สตาร์ตัวรุกเบลเยียมเดี้ยงยาวเหมือนเดิม แดนหน้าส่อดร็อป ลูกัส บาซเกซ เปิดโอกาส มาร์โก อาเซนซิโอ ลงตัวจริงแดนหน้าร่วมกับ คาริม เบนเซม่า และ วินิซิอุส จูเนียร์

    ฟาก ชัคตาร์ แชมป์ลีก ยูเครน ภายใต้บังเหียนของ ลูอีส คาสโตร โค้ชชาวโปรตุกีส เจอพิษโควิดเล่นงานเมื่อ จูเนียร์ โมราอิส หอกทีมชาติยูเครน เชื้อสายแซมบ้า และ มิโกล่า มัตวิเยนโก้ คีย์แมนแนวรับ ต่างมีผลตรวจเป็นบวกในช่วงต้นเดือน ต้องลุ้นผลอีกรอบ แต่ต่อให้หายก็ไม่น่าพร้อมคืนตัวจริงทันที

    ด้วยเหตุนี้ เดนตินโญ่ ดาวยิงบราซิเลียนจะได้ออกสตาร์ตแทนที่โมราอิส ส่วนตำแหน่งของ มัตวิเยนโก้ นั้นเป็นโอกาสสำหรับ วาเลอรี่ บอนดาร์ ดาวรุ่งวัย 21 ปี

    นอกจาก 2 คีย์แมนติดเชื้อไวรัสอันตรายแล้ว ทีมยังขาดตัวเจ็บอีกเพียบทั้ง เซอร์เก คริฟต์ซอฟ กองหลังอีกราย, มักซิม มาลิเชฟ กองกลางและ อิสไมลี่ แบ็กซ้ายชาวบราซิเลียน

    ด้าน อันเดร เพียตอฟ มือ 1 ขาประจำเพิ่งหายจากโควิดเช่นกัน และมีรายงานเผยว่า อนาโตลี ทรูบิน โกลวัย 18 จะได้ประเดิมเฝ้าเสานัดนี้

รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม

    เรอัล มาดริด (4-3-3) : ติโบต์ กูร์กตัวส์ – นาโช่ เฟร์นานเดซ, เอแดร์ มิลิเตา, ราฟาแอล วาราน, แฟร์กล็องด์ เมนดี้ – เฟเดริโก้ วัลเวร์เด้, คาเซมีโร่, โทนี่ โครส – มาร์โก อาเซนซิโอ, คาริม เบนเซม่า, วินิซิอุส จูเนียร์

ผู้จัดการทีม : ซีเนดีน ซีดาน

    ชัคตาร์ โดเนตส์ค (4-2-3-1) : อนาโตลี ทรูบิน – โดโด้, ดาวิต โคโชลาว่า, วาเลอรี่ บอนดาร์, วิคตอร์ คอร์นิเลนโก้ – มายค่อน, อลัน พาทริค – มาร์ลอส, วิคตอร์ โควาเลนโก้, ไทซอน – เดนตินโญ่

ผู้จัดการทีม : ลูอีส คาสโตร

ผู้ตัดสิน : เซอร์ดาน โยวาโนวิช (เซอร์เบีย)

โมราต้ากดเบิ้ล! ยูเวนตุสไม่พลาดบุกเชือดเคียฟ ประเดิมสามแต้มชปล.

"ม้าลาย" ยูเวนตุส ไม่พลาดสามคะแนนหลังบุกไปเอาชนะเจ้าถิ่น ดินาโม เคียฟ ทีมดังจากยูเครน 2-0 จากสองประตูของ อัลบาโร่ โมราต้า ที่ยิงคนเดียวในครึ่งหลัง ซิวสามแต้มประเดิมนัดแรก ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม เมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา

สนาม : เอ็นเอสซี โอลิมปิสกี้

    ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม เมื่อคืนวันอังคารที่ 20 ตุลาคมที่ผ่านมา เป็นการแข่งขัน นัดแรกของกลุ่ม จี ระหว่าง ดินาโม เคียฟ (ยูเครน) เปิดบ้านรับการมาเยือนของ "ม้าลาย" ยูเวนตุส (อิตาลี) โดยเกมนี้ได้เปิดให้แฟนบอลเข้าชมเกมโดยอยู่ภายใต้มาตรการการป้องกันโควิด-19

    เกมครึ่งแรก ทีมเยือนกดดันได้ดีกว่า นาที 13 "ม้าลาย" เกือบได้ลุ้นขึ้นนำหลัง อารอน แรมซี่ย์ แทงบอลออกซ้ายมาให้ เฟเดริโก้ เคียซ่า ซัดด้วยซ้ายไปทางเสาไกลแต่บอลยังไปติดมือของ จอร์จี้ บุชชาน ปัดออกไปหวุดหวิด

    อีก 3 นาทีถัดมา บอลขึ้นทาง เคียซ่า อีก ก่อนที่อดีตแข้งฟิออเรนติน่าจะเลี้ยงตัดเข้าในกรอบแล้วโยกเข้าขวาข้างถนัดปั่นหลุดเสาไกลออกไป

    นาที 17 เป็นโอกาสของ เคียฟ บ้างคราวนี้บอลออกด้านขวาให้ โทมัส เคดซิโอร่า ครอสไปในกรอบให้ วลาดิสลาฟ ซูเพรียก้า ชิงโขกแต่บอลเหินคานแบบหมดลุ้น

    นาที 19 อันเดรีย ปีร์โล่ ต้องเปลี่ยนตัวคนแรกอย่างรวดเร็วหลัง จอร์โจ้ คิเอลลินี่ กัปตันทีมมีอาการบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อก่อนจะเป็น เมริห์ เดมิรัล แนวรับชาวตุรกีลงไปเล่นแทน

    นาที 34 อารอน แรมซี่ย์ โชว์ทักษะเอาตัวรอดการพาบอลกระชากหนีเข้าไปถึงเส้นหลังก่อนดีดไซด์ก้อยให้ เดยัน คูลูเซฟสกี้ วิ่งมาไขว้ยิงเสาแรกแต่ยังโดน จอร์จี้ บุชชาน ปัดออกหลังหวุดหวิด

    นาที 39 การ์ลอส เด เปนญ่า ตัดบอลจากแดนกลางได้ก่อนจะลักไก่ยิงกว่า 35 หลาให้ข้ามหัว เชสนี่ ทว่านายด่านม้าลายยังไหวตัวทันถอยไปรับไว้ไม่มีปัญหา

    ช่วงทดเจ็บเจ้าถิ่นกดดันได้ดี นาที 45 โรดริโก้ เบนตันกูร์ ไปเสียบใส่ มิโกล่า ชาปาเรนโก้ หน้ากรอบเขตโทษจนโดนใบเหลือง ก่อนที่  วิคตอร์ ซิกันคอฟ จะซัดฟรีคิกทะลุกำแพงแต่ยังดีไปตรงตัวเข้ามือ วอยเชียค เซสนี่

    จบครึ่งแรกยังทำอะไรกันไม่ได้ เสมอกัน 0-0

    ครึ่งหลัง เริ่มมาได้แค่นาที 46 "ม้าลาย" ได้ประตูขึ้นนำ 1-0 ทันทีจากจังหวะขึ้นเกมทาง เฟเดริโก้ เคียซ่า ปาดมาเสาแรกให้ แรมซี่ย์ ไขว้คืนหลังถึง เดยัน คูลูเซฟสกี้ วิ่งมาอัดเต็มแรงเสาแรก แม้ว่า จอร์จี้ บุชชาน จะพุ่งปัดแต่ไปเข้าทางปืน อัลบาโร่ โมราต้า ที่ยืนตำแหน่งไม่ล้ำหน้าซ้ำเข้าไปไม่เหลือ

    นาที 56 ยูเวนตุส เปลี่ยนคนที่สองส่ง เปาโล ดีบาล่า ลงมาเล่นแทน เดยัน คูลูเซฟสกี้
   
    โอกาสส่องหนแรกของ ดีบาล่า ต้องรอถึง นาที 72 หลัง ฮวน กวาดราโด้ ครอสบอลมาให้ ทว่าหัวหอกชาวอาร์เจนไตน์ดันซัดเหินโด่งข้ามคานไปหมดลุ้น

    นาที 72 เจ้าถิ่นมีลุ้นตีเสมอเช่นกัน เซอร์เก ซิดอร์ชุค ตะบันเต็มแรงนอกกรอบบอลพุ่งแบบได้เสียวแต่ยังไปตรงตัว วอยเชียค เซสนี่

    นาที 83 เจ้าบ้านเมื่อทวงสกอร์คืนไม่ได้ กลายมาโดนเม็ดที่สอง หลังเจอทีเด็ดของ "ม้าลาย" สวนเกมขึ้นมา อาเดรียง ราบิโอต์ แทงออกขวาให้ ฮวน กวาดราโด้ ครอสบอลเร็วไปหน้ากรอบให้ อัลบาโร่ โมราต้า โฉบมาโหม่งบอลเข้าไปง่ายๆ เป็นประตูที่สองในเกมนี้ ช่วยให้ ยูเวนตุส นำห่าง 2-0

    ช่วงเวลาที่เหลือไม่มีประตูเพิ่มเติม จนผู้ตัดสินชาวโรมาเนีย เป่าจบเกมเป็นอันว่า ยูเวนตุส บุกมาคว้าชัยเหนือ ดินาโม เคียฟ 2-0 ซิวสามแต้มประเดิมนัดแรก รอบแบ่งกลุ่ม ได้สำเร็จ

    รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม

    ดินาโม เคียฟ (4-3-3) : จอร์จี้ บุชชาน – โทมัส เคดซิโอร่า, อิลีย่า ซาบาร์นี่, วิตาลี มิโคเลนโก้, โอเล็กซานเดอร์ คาราวาเยฟ (เดนิส โปปอฟ น.70) – วิตาลี บูยัลสกี้, เซอร์เก ซิดอร์ชุค, มิโกล่า ชาปาเรนโก้ – วิคตอร์ ซิกันคอฟ (เบนจามิน เวอร์บิช น.71), วลาดิสลาฟ ซูเพรียก้า, การ์ลอส เด เปนญ่า (เกอร์สัน โรดริเกซ น.60)

    เทรนเนอร์ : มีร์เชีย ลูเชสคู

    ยูเวนตุส (3-4-1-2) : วอยเชียค เซสนี่ – ดานีโล่, เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่, จอร์โจ้ คิเอลลินี่ (เมริห์ เดมิรัล น.19) – ฮวน กวาดราโด้, โรดริโก้ เบนตันกูร์ (อาร์ตูร์ เมโล่ น.79), อาเดรียง ราบิโอต์, เฟเดริโก้ เคียซ่า – อารอน แรมซี่ย์ (เฟเดริโก้ แบร์นาร์เดสคี่น.79) – เดยัน คูลูเซฟสกี้ (เปาโล ดีบาล่า น.56), อัลบาโร่ โมราต้า

    เทรนเนอร์ : อันเดรีย ปีร์โล่

    ผู้ตัดสิน : โอวิดิอู ฮาเตกัน (โรมาเนีย)

 

ก็ได้อยู่! “คล็อปป์” โอเคลิเวอร์พูลเล่นดีพอคว้าชัย

เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือ ลิเวอร์พูล ชี้ลูกทีมเล่นได้ดีพอกับการเป็นฝ่ายชนะ หลังบุกเชือด อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม 1-0 พร้อมตำหนิสภาพสนามที่ทำทั้งสองทีมเล่นกันยาก
               เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล เชื่อว่า ทีมตนสามารถทำผลงานได้ดีกว่านี้ แต่อย่างน้อยก็ยังดีพอกับการเป็นฝ่ายชนะ หลัง "หงส์แดง" บุกเชือด อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม 1-0 ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม ดี นัดแรก เมื่อวันพุธที่ 21 ตุลาคม ที่ผ่านมา

               เป็นเกมที่ทั้งสองทีมต่างเล่นได้ต่ำกว่ามาตรฐาน และสุดท้ายเป็น ลิเวอร์พูล ที่เก็บ 3 แต้มกลับบ้าน จากประตูชัยในนาทีที่ 35 ซึ่งมาจากการทำเข้าประตูตัวเองของผู้เล่นแนวรับเจ้าถิ่นอย่าง นิโกลัส ตายาฟิโก้

             "ถือเป็นฟอร์มที่ดีพอในการคว้าชัยชนะ นั่นแหละคือสิ่งที่คุณต้องการ แน่นอน ผมคิดว่า ทั้งสองทีมสามารถเล่นได้ดีกว่านี้ แต่สภาพพื้นสนามมันก็ดูแปลกๆ นะ ทั้งลึกและเต็มไปด้วยโคลน มันทำให้นักเตะเหนื่อยกันเร็ว" คล็อปป์ เปิดใจหลังเกม

คล็อปป์เป่าปาก! อาแจ็กซ์ยิงตัวเอง-ลิเวอร์พูลบุกเฉือนหวิว เปิดหัวชปล.

"หงส์แดง" ฟอร์มเหนียวแน่นทั้งที่มีปัญหาแนวรับ แต่ยังบุกไปคว้าชัยเหนือ อาแจ็กซ์ หวุดหวิด 1-0 จากการทำเข้าประตูตัวเองของ นิโกลัส ตายาฟิโก้ ส่งผลให้ ลิเวอร์พูล ประเดิมสามแต้มแรก ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา

สนาม :  โยฮัน ครัฟฟ์ อารีน่า

    เอริค เทน ฮาก เกมนี้ไม่มีปัญหาเท่าไหร่จัดตัวเก่งทั้ง ดาวิด เนเรส, โมฮัมเหม็ด คูดาส และดูซาน ทาดิช ส่วนทางฝั่ง "หงส์แดง" มาในสภาพทีมไม่สมบูรณ์หลังแนวรับมีปัญหาลงไม่ได้ทั้ง เฟอร์กิล ฟานไดค์ และโฌแอล มาติป ทำให้ ฟาบินโญ่ ต้องยืนเซ็นเตอร์แบ็กคู่กับ โจ โกเมซ แทนส่วนแนวรุกยังเป็น 3 ประสานทั้ง โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และ ซาดิโอ มาเน่

    ครึ่งแรกเริ่มมาได้แค่ 9 นาที เจ้าบ้าน อาแจ็กซ์ ต้องเปลี่ยนตัวคนแรกอย่างรวดเร็วหลัง โมฮัมเหม็ด คูดาส เล่นต่อไม่ไหวทำให้ต้องส่ง ควินซี่ โพรเมส ลงมาเล่นแทน

    นาที 15 อาเดรียน นายด่านของ "หงส์แดง" เกือบทำพลาดหลังออกบอลด้วยเท้าหน้าประตูตัวเองไปติดบล็อคแข้งเจ้าถิ่น แต่ดีที่บอลกระเด้งไปตรงกรอบ

    ก่อนเจ้าถิ่นจะได้เตะมุมในนาทีถัดมา บอลต่อเนื่องจาก ดูซาน ทาดิช เปิดยาวไปเสาไกลให้ ลิซานโดร มาร์ติเนซ เซ็นเตอร์แบ็กเทกตัวขึ้นโขกแต่บอลยังไปตรงตัว อาเดรียน

    "หงส์แดง" ได้ลุ้นบ้าง นาที 19 เจมส์ มิลเนอร์ ซัดนอกกรอบแต่บอลก็ไม่ได้ลุ้น อีกนาทีถัดมา เคอร์ติส โจนส์ ยิงด้วยซ้ายนอกกรอบแต่บอลก็เบาไปเข้ามือ โอนาน่า อีก

    นาที 32 อาแจ็กซ์ พลาดโอกาสลุ้นขึ้นนำ หลัง ดาวิด เนเรส  เปิดบอลให้  ควินซี่ โพรเมส หลุดกับดักล้ำหน้าเข้าไปยิงติดเซฟของ อาเดรียน

    นาที 35 ประตูแรกของเกมเป็นทางฝั่ง ลิเวอร์พูล ที่บุกมานำไปก่อน 1-0 จากจังหวะที่ มิลเนอร์ ทุ่มบอลเข้ามาให้ ซาดิโอ มาเน่ พลิกบอลหลบเข้าปในกรอบก่อนหวดด้วยขวา บอลพุ่งไปโดนขา นิโกลัส ตายาฟิโก้ กลายเป็นเปลี่ยนทางเสียบเสาสองเข้าประตูตัวเองไป

    นาที 40 แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน สปีดพาบอลจากแดนตัวเองขึ้นมาถึงหน้ากรอบก่อนไหลออกขวาให้ ซาลาห์ เลี้ยงตัดเข้าซ้ายข้างถนัดแต่จังหวะสุดท้ายดันยิงไปติดบล็อคอย่างน่าเสียดาย

    นาที 44 "หงส์แดง" เกือบพลาดเสียประตู หลัง ดูซาน ทาดิช หลุดเข้าไปกระดกบอลข้ามหัว อาเดรียน กำลังจะเข้าประตูไปแล้ว แต่ ฟาบินโญ่ ยังวิ่งตามไปสกัดบอลบนเส้นอย่างหวุดหวิด

    อีกนาทีถัดมา โรเบิร์ตสัน กระชากบอลก่อนเปิดไปให้ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ โขกแต่บอลยังไปติดเซฟของ อ็องเดร โอนาน่า

    จบครึ่งแรก อาแจ็กซ์ ตามหลัง ลิเวอร์พูล 0-1

    ครึ่งหลังกลับมาบู๊กันแค่ นาที 46 เจ้าบ้านเกือบได้ลูกตีเสมอหลัง ดาวี่ คลาสเซ่น ซัดบอลนอกกรอบผ่านมือ อาเดรียน ไปแล้วแต่ยังไปแม่นเสาอย่างน่าเสียดาย

     เกมแลกกันสนุก นาที 57 ทัพหงส์ได้ลุ้นจากลูกเตะมุม แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน เปิดมาเข้าหัว ฟาบินโญ่ โหม่งเน้นๆแต่บอลไปติดผู้เล่นเจ้าถิ่นออกหลังหวุดหวิด

    อีกนาทีถัดมา แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ที่วันนี้โดดเด่นสุดๆ ครอสบอลไปหน้ากรอบให้ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ขึ้นโขกหลุดกรอบออกไป

    ทว่าหงส์บุกเพลินๆ เกือบโดน อาแจ็กซ์ ตีเสมอ นาที 58 บอลสวนกลับของ นูส์แซร์ มาซราอูย แบ็กขวาครอสมาให้ ควินซี่ โพรเมส ยิงเน้นๆแต่ยังไปติดเซฟของ อาเดรียน ปัดออกหลัง

    นาที 60 เจอร์เก้น คล็อปป์ เปลี่ยนรวดเดียว 3 คน ถอดสามแนวรุกทั้ง โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และ ซาดิโอ มาเน่ ออกแล้วส่ง เซอร์ดาน ชากิรี่, ทาคูมิ มินามิโนะ และดีโอโก้ โชต้า ลงไปเล่นแทน

    อีก 10 นาทีถัดมา ทาคูมิ มินามิโนะ เกือบใส่สกอร์ที่สองให้ลิเวอร์พูล หลังรับลูกจาก ชากิรี่ ก่อนตั้งป้อมตะบันไกลเต็มแรงบอลพุ่งจน อ็องเดร โอนาน่า ต้องปัดออกไป

    ช่วงเวลาที่เหลือ เจ้าถิ่นไม่สามารถทวงประตูคืนได้ จบเกม อาแจ็กซ์ พ่ายคาบ้านให้ ลิเวอร์พูล 0-1

    รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม

         อาแจ็กซ์ (4-3-3) : อ็องเดร โอนาน่า – นูส์แซร์ มาซราอูย, แปร์ ชูร์ส์,  ลิซานโดร มาร์ติเนซ, นิโกลัส ตายาฟิโก้ –  ไรอัน กราเวนเบิร์ค, ดาเล่ย์ บลินด์, ดาวี่ คลาสเซ่น – ดาวิด เนเรส, โมฮัมเหม็ด คูดาส (ควินซี่ โพรเมส น.9), ดูซาน ทาดิช

         ผู้จัดการทีม : เอริค เทน ฮาก

         ลิเวอร์พูล (4-3-3) : อาเดรียน – เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, ฟาบินโญ่, โจ โกเมซ, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน – เคอร์ติส โจนส์, จอร์จินโย่ ไวนัลดุม, เจมส์ มิลเนอร์ – โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่, ซาดิโอ มาเน่
 
       ผู้จัดการทีม :  เจอร์เก้น คล็อปป์

         ผู้ตัดสิน : เฟลิกซ์ ไบรช์ (เยอรมัน)

ไร้เงาแม็กไกวร์-คาวานี่!แมนยูเดินทางสู่ปารีสเตรียมบู๊ชปล.

"ปีศาจแดง" แมนฯยูไนเต็ด เดินทางไปประเทศฝรั่งเศสแล้ว เพื่อเตรียมตัวทำศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก รอบแบ่งกลุ่ม กับ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ในวันอังคารนี้ โดย แฮร์รี แม็กไกวร์ และ เอดินสัน คาวานี ไม่ได้ร่วมเดินทางไปด้วย
   
ขุนพล "ปีศาจแดง" แมนฯยูไนเต็ด ทีมดัง พรีเมียร์ลีก อังกฤษ บินลัดฟ้าสู่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เรียบร้อย เพื่อเตรียมตัวทำศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก รอบแบ่งกลุ่ม กับ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ในวันอังคารนี้ โดยไม่มีดาวเตะอดีตต้นสังกัดเดิมอย่าง เอดินสัน คาวานี ดาวเตะอุรุกวัยที่เพิ่งย้ายข้ามฟากมาพรีเมียร์ลีก รวมถึง แฮร์รี แม็กไกวร์ กัปตันทีม ร่วมเดินทางไปด้วย

ในส่วนของ แฮร์รี แม็กไกวร์ คาดว่ามีปัญหาบาดเจ็บจากเกมชนะ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ส่วน เอดินสัน คาวานี เพิ่งซ้อมกับทีมได้ไม่นาน นอกจากนี้ แมนฯยูฯ ยังไม่มี เมสัน กรีนวู้ด ขณะที่ ฟากุนโด้ เปเยสตรี มีชื่อเดินทางไปปารีสกับทีมด้วย
   
สำหรับเกมคู่นี้จะลงเล่นคืนวันอังคารนี้ ที่ สนามปาร์ค เดอ แปร็ง ต่อไป

โซลชาระเบิดพลังแฝง ! ผ่า 5 ประเด็น แมนยู ฟอร์มหรูย้ำแค้น ปารีสฯ

    ในยามที่กดดันเก้าอี้ร้อน โอเล่ กุนนาร์ โซลชา มักจะระเบิดพลังแฝงออกมาซึ่งในแมตช์เยือน ปารีส แซงต์-แชร์กแมง "น้าลูกอม" ได้โชว์กึ๋นชั้นยอดในการนำ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตอกย้ำความแค้นใส่ "เปแอสเช" ด้วยการบุกชนะ 2-1 ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม เอช เมื่อวันอังคารที่ 20 ตุลาคมที่ผ่านมา
    ระบบการเล่น 3-5-2 ของ โซลชา เต็มไปด้วยประสิทธิภาพในในเกมรับ และเกมรุก โดยเกมรับทั้ง วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ, อั๊กเซล ตวนเซเบ้ และ ลุค ชอว์ เล่นได้อย่างเหนียวแน่น ขณะที่ อารอน วาน-บิสซาก้า กับ อเล็กซ์ เตลลิส ช่วยเติมเกมบุกได้ยอดเยี่ยม และเกมรับเหนียวแน่น ทำให้แนวรุกเจ้าบ้านเล่นไม่ออก

    ขณะที่ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ยังคงเป็นหัวใจในเกมรุกของทีมเหมือนเดิม ส่วนคู่มิดฟิลด์ เฟร็ด กับ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ ทำหน้าที่ปิดทองหลังพระได้อย่างยอดเยี่ยม ด้านกองหน้าอย่าง มาร์คัส แรชฟอร์ด ก็โดดเด่น สำหรับ อองโตนี่ มาร์กซิยาล เล่นไม่ค่อยออก แถมยังทำเข้าประตูตัวเองอีกต่างหาก

    ส่วนอีกคนที่สำคัญมากๆ และมีส่วนช่วยให้ทีมชนะนั่นก็คือ ดาบิด เด เคอา เพราะเจ้าตัวโชว์ฟอร์มมหาเทพช่วยป้องกันจังหวะสำคัญๆ จากแนวรุกของ แซงต์-แชร์กแมง ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ และฟอร์มของ นายด่านสแปนิช น่าจะทำให้หลายๆ คนหยุดสงสัยในตัวเขาซะที

 

 

1.  บรูโน่ นิ่งสงบไม่มีหวั่นไหว
    เกมนี้เป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ที่แสดงให้เห็นว่า บรูโน่ แฟร์นันด์ส คือนักเตะที่มีหัวใจกล้าแกร่งไม่หวั่นไหวในการรับหน้าที่สังหารจุดโทษ แม้ว่าเขาเพิ่งจะทำพลาดยิงจุดโทษไม่เข้าในแมตช์ที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไล่ถลุง นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด เกมลีกเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาก็ตาม

    อองโตนี่ มาร์กซิยาล ช่วยทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้เปรียบตั้งแต่นาทีที่ 25 เมื่อเขาโดนทำฟาวล์ในเขตโทษ และเป็น แฟร์นันด์ส ที่ขันอาสาจัดการยิงจุดโทษ โดยการยิงครั้งแรกเจ้าตัวใช้ลีลากระโดดยิงแต่โดน เคย์เลอร์ นาบาส เซฟเอาไว้ได้ แต่ท่านเปาให้ยิงใหม่ เพราะนายด่าน "เปแอสเช" ดันขยับออกมาจากเส้นก่อน
 

    เมื่อได้รับโอกาสครั้งที่สอง จอมทัพทีมชาติโปรตุเกส ไม่ยอมพลาดอีกครั้ง และเจ้าตัวแสดงให้เห็นถึงหัวใจที่แข็งแกร่งดั่งภูผาหิน ด้วยการสังหารจุดโทษไปที่มุมเดิม แต่ครั้งนี้ นาบาส พุ่งผิดทาง ส่งผลให้บอลเข้าไปนอนเล่นในก้นตาข่ายอย่างสวยงาม

    สำหรับประตูขึ้นนำของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็เหมือนเป็นการชดเชยจากกรณีที่พวกเขาเคยเจอกับเหตุการณ์แบบนี้มาแล้ว ในจังหวะที่ ดาบิด เด เคอา เซฟจุดโทษเกมกับ คริสตัล พาเลซ แต่โดนจับว่าขยับตัวออกมาก่อน และต้องยิงใหม่ สุดท้าย "ผีแดง" พ่ายแพ้คาโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เมื่อเดือนที่ผ่านมา

    ที่สำคัญฟอร์มของ แฟร์นันดส์ ในเกมนี้ต้องยอมรับว่าน่าประทับใจมากๆ เพราะนอกจากที่เขาจะเป็นหัวใจในการสร้างเกมบุก และรังสรรค์โอกาสในการทำประตูให้เพื่อนร่วมทีมแล้ว เจ้าตัวยังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในฐานะกัปตันทีมอีกด้วย 
 
2. เตลลิส ว่าที่จอมเปิดบอลชั้นยอด
    อเล็กซ์ เตลลิส แสดงให้เห็นถึงผลงานไม่ธรรมดาในเกมเปิดตัวของเขา แถมยังเป็นแมตช์ใหญ่เยือนกรุงปารีสซะด้วย โดยเขาโชว์ความเป็นนักเตะชั้นยอดในการเล่นเกมรุก ขณะเดียวกันยังรับหน้าที่จัดการเล่นลูกตั้งเตะซึ่งเจ้าตัวเปิดบอลได้ดียิ่งกว่าผู้เล่นเท้าซ้ายคนอื่นๆ ของ "ผีแดง" ในเวลานี้

    โดยเฉพาะจังหวะการเล่นลูกเตะมุม เตลลิส โชว์ให้เห็นถึงการเตะมุมที่อันตรายมากๆ และทุกครั้งที่ได้เตะมุมทางฝั่งขวาเขาจะรับหน้าที่เปิดเองซึ่งบอลที่เปิดเลี้ยวเข้าหาประตู และเกือบที่จะช่วยให้ "ปีศาจแดง" ได้ประตูที่สองในช่วงครึ่งแรกด้วย ขณะที่การเปิดบอลจากฝั่งซ้ายก็โดดเด่นไม่แพ้กัน

    ลองนึกภาพเวลาที่ แมนฯ ยูไนเต็ด มี เอดินสัน คาวานี่ ลงสนามเพราะทีมจะมีหน้าเป้าชั้นยอดคอยทำหน้าที่ยิงประตู ฉะนั้นหากให้ เตลลิส ได้มีโอกาสเปิดบอลเข้าไปในกรอบเขตโทษ งานนี้บอกเลยว่า แมนฯ ยูไนเต็ด มีสิทธิ์ได้ประตูอย่างแน่นอน

    ในส่วนของเกมรับ เตลลิส ก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีไม่มีที่ติดในการคุมพื้นที่ฝั่งซ้ายได้อยู่หมัด แม้ว่านี่จะเป็นเพียงแค่เกมแรกของเขาในสีเสื้อ "ปีศาจแดง" เท่านั้น แต่ผลงานแบบนี้น่าจะเป็นการบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่า ดาวเตะชาวบราซิเลียน พร้อมที่จะเป็นผู้เล่นตัวจริงของทีม และเขาจะทำให้ "ผีแดง" แข็งแกร่งยิ่งขึ้น 
   
3. วาน-บิสซาก้า, ตวนเซเบ้ แข็งแกร่งน่าประทับใจ
    บอกเลยว่าเกมนี้ อารอน วาน-บิสซาก้า เป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญที่ทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด บุกชนะ "เปแอสเช" โดยเขาสามารถจัดการหยุดความเก่งฉกาจของ คีลิยัน เอ็มบัปเป้ กับ เนย์มาร์ ได้อย่างยอดเยี่ยมทุกครั้งที่ทั้งสองคนนี้บุกเข้ามาอยู่ในพื้นที่การดูแลของเขา

    "เอดับเบิ้ลยูบี" สามารถรับมือทักษะชั้นยอดของ เอ็มบัปเป้ และ เนย์มาร์ ได้เป็นอย่างดี และยังโชว์การเสียบสกัดที่แม่นยำ รวมทั้งการปะทะ เอ็มบัปเป้ ส่งผลให้เขาพลาดโอกาสที่จะยิงประตู นอกจากนี้ "ไอ้แมงมุม" ยังแท็กเกิล มอยเซ่ คีน จนทำให้เขาเสียการครองบอล จนพลาดยิงประตู

    สถิติในแมตช์นี้ของ วาน-บิสซาก้า บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเขาสำคัญมากๆ เมื่อสกัดได้ 6 ครั้ง, ตัดบอลจากคู่แข่งได้ 2 ครั้ง และหยุดความร้อนแรงของ เนย์มาร์, เอ็มบัปเป้ ได้อยู่หมัด ฉะนั้นนี่เป็นอีกบทพิสูจน์ที่แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาเป็นหนึ่งในแบ็กขวาที่ดีที่สุดในเวลานี้

    ขณะที่ อั๊กเซล ตวนเซเบ้  ที่ลงเล่นเกมแรกให้กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ในปี 2020 ทำผมได้ดีมากๆ โดยเขาทำหน้าที่เป็นปราการหลังได้อย่างดีไม่มีที่ติ โดยเฉพาะการจัดการกับ เนย์มาร์ และ เอ็มบัปเป้ ที่สำคัญยังมีชอตเด็ดในจังหวะดวลตัวต่อตัวกับ สตาร์ดังทีมชาติฝรั่งเศส และสามารถจัดการนักเตะได้อยู่หมัด

    แน่นอนว่าเกมนี้ถือเป็นเรื่องที่เซอร์ไพรส์สำหรับสาวก "เร้ดส์ อาร์มี่" ที่เห็น ตวนเซเบ้ เล่นด้วยความนิ่งทั้งๆ ที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์กดดันหลายครั้งก็ตาม นอกจากนี้เขายังมีจังหวะเคลียร์บอลที่สุดยอด และด้วยฟอร์มแบบนี้ โซลชา คงพร้อมที่จะให้โอกาสกับเจ้าตัวมากยิ่งขึ้น
 
 4. สามแต้มเปิดตัวที่สุดยอดเยี่ยม
    ต้องยอมรับว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในแมตช์นี้ โดยส่วนหนึ่งต้องยกเครดิตให้กับ โซลชา ในการวางแผนมาเป็นอย่างดีด้วยการใช้ระบบ 3-5-2 เนื่องจากทีมขาด แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ทำให้ "น้าลูกอม" จำเป็นต้องใช้ระบบนี้ และถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ยอดเยี่ยมมากๆ

    วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ, ตวนเซเบ้ และ ลุค ชอว์ ทำหน้าที่เป็นสามแนวรับที่สมบูรณ์แบบ โดยพวกเขาสามารถจัดการเกมบุกที่แสนดุดันของ แซงต์-แชร์กแมง ได้เป็นอย่างดี ขณะที่ในแผงกองกลาง โซลชา เลือกดร็อป ปอล ป็อกบา กับ ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค และส่ง เฟร็ด ยืนคู่กับ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ ซึ่งทั้งคู่ทำหน้าที่ได้อย่างเข้าขารู้ใจ ที่สำคัญพวกเขายังช่วยให้ทีมเล่นเกมสวนกลับได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 
 

    ในส่วนของแดนหน้าแม้ อองโตนี่ มาร์กซิยาล จะยิงไม่ได้แต่เขาคือคนที่เรียกจุดโทษให้ทีม ฉะนั้นก็พอจะหยวนๆ ให้อภัยในจังหวะที่โหม่งเข้าประตูตัวเอง รวมทั้งอีกหลายจังหวะที่มีโอกาสทำประตูแต่ยิงไม่ดี ส่วน มาร์คัส แรชฟอร์ด ก็ยังคงเป็นหัวหอกตัวความหวัง ความเร็ว และการยิงที่เฉียบคมของเขาช่วยให้ทีมได้ 3 คะแนนสำคัญในแมตช์นี้

    ฉะนั้นการออกมาเยือนถิ่นปาร์ก เดส์ แพร็งซ์ พร้อมกับคว้าชัยชนะกลับเมืองแมนเชสเตอร์ ถือเป็นฤกษ์งามยามดีสำหรับทีม และยังเป็นกำลังใจให้กับบรรดาแข้ง "ปีศาจแดง" สำหรับแมตช์ที่พวกเขาจะต้องปะทะกับ "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี เกมลีกสัปดาห์นี้ 
 
5. ยืนหนึ่งต้อง เด เคอา เท่านั้น
    แฟนบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หลายคนเรียกร้องดร็อป ดาบิด เด เคอา ได้แล้ว และเปิดโอกาสให้ ดีน เฮนเดอร์สัน ได้ทำหน้าที่มือ 1 ซะที เพราะเชื่อว่า นายทวารชาวอังกฤษ มีศักยภาพที่จะดีกว่า โกลเลือดกระทิงดุ ที่มักจะโดนมองว่าฟอร์มตกในช่วงที่ผ่านมา

    อย่างไรก็ตามในฤดูกาลนี้ เด เคอา ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าระดับฟอร์มการเล่นของเขายังคงสุดยอดเหมือนเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเกมล่าสุดที่ปะทะกับ "เปแอสเช" เจ้าตัวโชว์ความเหนียวหนึบ และต้องบอกเลยว่าเขาคือหนึ่งในนักเตะสำคัญที่นำชัยชนะมาสู่ทัพ "ผีแดง" แมตช์นี้
 

    นายด่านทีมชาติสเปน มีจังหวะเซฟสำคัญๆ หลายครั้งเริ่มตั้งแต่การปฏิเสธจังหวะยิงประตูของ อังเคล ดิ มาเรีย ในนาทีที่ 11 จากนั้นก็โชว์ความเหนียวหนึบจากการยิงของ เลย์วิน คูร์ซาว่า ในนาทีถัดมา ยังไม่หมดแค่นั้นเพราะในครึ่งหลังเขายังเซฟจังหวะยิงอย่างเหนือชั้นของ เอ็มบัปเป้ ในนาทีที่ 47  จากนั้นก็หยุดการยิงของ เนย์มาร์ ในนาทีที่ 82

    แน่นอนว่าฟอร์มการเซฟประตูของ เด เคอา ช่วยให้ แมนฯ ยูไนเต็ด รอดพ้นจากหายนะในแมตช์นี้ แถมยังนำไปสู่การได้ชัยชนะด้วย ฉะนั้นหาก เฮนเดอร์สัน อยากจะรู้ว่าตัวเองควรจะมีมาตรฐานในระดับไหนถึงจะได้เป็นมือ 1 "ปีศาจแดง" ก็ให้ดูผลงานของ นายด่านเลือดกระทิงดุ เอาไว้ และหากยังทำไม่ได้ในระดับนี้ ก็ยากจะได้เป็นตัวจริง

ลิเวอร์พูลเก่งกับดัตช์-มาดริดยับ3นัด! เปิดสถิติน่ารู้ศึก ชปล. คืนวันพุธ

ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก คืนวันพุธที่ผ่านมา มีการลงแข่งขันหลายสนามทีเดียว ไฮไลท์สำคัญคงอยู่ที่เกมระหว่าง อาแจ็กซ์ พบ ลิเวอร์พุล ที่สุดท้าย "หงส์แดง" บุกคว้าสามแต้มได้สำเร็จ ในขณะเดียวกันอีกหนึ่งทีมจากอังกฤษอย่าง "เรือใบสีฟ้า" ก็เก็บชัยชนะได้เช่นกัน แต่ผลการแข่งขันที่ช็อกที่สุดคงเป็นเกมปราชัยคาบ้านของ เรอัล มาดริด เรามาเก็บตกสถิติน่าสนใจแต่ละคู่ที่ลงสนามในคืนวันพุธนี้กัน
เรอัล มาดริด 2-3 ชัคตาร์ โดเนตส์ค

1 – ชัคตาร์ เป็นทีมจากยูเครนทีมแรกที่เอาชนะ เรอัล มาดริด ใน ชปล. นับตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 1999 ที่ ไดนาโม เคียฟ เอาชนะไปได้ 2-0

3 – ราฟาเอล วาราน เป็นนักเตะเรอัล มาดริด คนที่สามที่ยิงเข้าประตูตัวเอง 2 ลูกใน ชปล. ต่อจาก อิบัน เอลเกร่า และ เซร์คิโอ รามอส

3 – เรอัล มาดริด พ่ายแพ้ในฟุตบอลยุโรป 3 นัดติดต่อกันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1986

3 – เรอัล มาดริด เสียประตูถึง 3 ลูกในครึ่งแรกในศึก ชปล. เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2005 ในเกมพบ โอลิมปิก ลียง และยังเป็นครั้งแรกที่เกิดขึ้นในบ้านในรายการนี้นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปี 2000 ในเกมพบ บาเยิร์น มิวนิค

15 – วินิซิอุส จูเนียร์ ใช้เวลาเพียง 15 วินาทีลงสนามมาก็ยิงประตูได้เลย โดยนับตั้งแต่เว็บไซต์ optajoe เก็บสถิติมาตั้งแต่ฤดูกาล 2006-07 นี่เป็นประตูที่ยิงไวที่สุดในฐานะตัวสำรอง

35 – ลูก้า โมดริช เป็นนักเตะวัยตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไปเพียงคนที่ 4 ที่ยิงประตูให้กับ เรอัล มาดริด ในฟุตบอลยุโรป ต่อจาก อัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่, เฟเรนซ์ ปุสกัส และปาโก้ เกนโต้

แมนฯ ซิตี้ 3-1 ปอร์โต้

5 – เปเป้ กองหลังตัวเก๋าของ ปอร์โต้ ทำเสียจุดโทษถึง 5 ครั้งใน ชปล. มากกว่านักเตะทุกคนตั้งแต่ฤดูกาล 2003-04

6 – ฟิล โฟเด้น มีส่วนร่วมกับประตูถึง 6 ลูกจาก 7 เกมหลังสุดของเขาใน ชปล. (3 ประตูกับ 3 แอสซิสต์) ทั้งที่ลงสนามในฐานะตัวสำรองถึง 4 เกมด้วยกัน

6 – นับตั้งแต่เริ่มฤดูกาล 2019-20 แมนฯ ซิตี้ ยิงประตูจากลูกฟรีคิกถึง 6 ลูก (ดาบิด ซิลบา 2, มาห์เรซ 2, เดอ บรอยน์ 2 และ กุนโดกัน 1)

20 – ราฮีม สเตอร์ลิง เรียกจุดโทษถึง 20 ครั้งให้กับ แมนฯ ซิตี้ นับตั้งแต่ เป๊ป เข้ามาคุมทีมเดือนสิงหาคมปี 2016

76 – นี่เป็นชัยชนะนัดที่ 76 ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ใน ชปล. นับตั้งแต่คุมทีมในฐานะกุนซือเต็มตัวเกมแรกเมื่อเดือนกันยายนปี 2008

231 – เซร์คิโอ อเกวโร่ ยิงประตูแรกนับตั้งแต่เดือนมีนาคมที่เขายิงในเกมพบ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด หรือเมื่อ 231 วันที่แล้ว ซึ่งช่วงระยะห่างนี้เองเป็นระยะที่ยาวที่สุดในอาชีพการค้าแข้งของเขากับสโมสรและทีมชาติ

บาเยิร์น มิวนิค 4-0 แอตเลติโก มาดริด

20 – นี่เป็นครั้งที่ 20 ที่ บาเยิร์น มิวนิค ภายใต้การคุมทีมของ ฮันซี่ ฟลิค ยิงประตูตั้งแต่ 4 ลูกขึ้นไป ถือว่ามากกว่าทุกทีมในยุโรปนับตั้งแต่เขาเข้ามาคุมทีมเดือนพฤศจิกายนปี 2019

อาแจ็กซ์ 0-1 ลิเวอร์พูล

1 – อาแจ็กซ์ ชนะเพียงแค่ครั้งเดียวจาก 7 ครั้งที่เจอกับทีมจากอังกฤษในฟุตบอลยุโรป (เสมอ 2 แพ้ 4)

2 – ลิเวอร์พูล เพิ่งจะเก็บคลีนชีทได้เป็นครั้งที่ 2 ใน ชปล. นับตั้งแต่เริ่มต้นฤดูกาลที่แล้ว โดยอีกหนึ่งเกมเกิดขึ้นในแมตช์พบ ซัลซ์บวร์ก

5 – เจอร์เก้น คล็อปป์ เปลี่ยนตัว โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน่ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ พร้อมกันสามคนในเกมเดียวเป็นครั้งที่ 5

7 – ลิเวอร์พูล ไร้พ่ายในการเยือนทีมจากดัตช์ 7 ครั้งหลังสุด ยังเก็บคลีนชีทถึง 5 นัด (ชนะ 4 เสมอ 3)

34 – เจมส์ มิลเนอร์ ในวัย 34 ปี 291 วัน กลายเป็นนักเตะลิเวอร์พูลที่อายุมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ที่ลงเล่นในฟุตบอลยุโรป ต่อจาก แกรี่ แม็คอัลลิสเตอร์ (37 ปี 84 วัน), เอียน คัลลาแกน (35 ปี 353 วัน)

5 – ในทางกลับกัน เคอร์ติส โจนส์ กลายเป็นนักเตะเอ๊าฟิลด์ของลิเวอร์พูลที่อายุน้อยที่สุดเป็นอันดับ 5 ที่ออกสตาร์ทตัวจริงใน ชปล. (19 วัน 265 วัน)

2010 – นิโกลัส ตายาฟิโก้ เป็นผู้เล่นอาแจ็กซ์คนแรกที่ยิงประตูตัวเองใน ชปล. นับตั้งแต่ เวอร์นอน อนิต้า เคยยิงประตูตัวเองในเกมพบ เรอัล มาดริด เมื่อเดือนกันยายนปี 2010

แรชฟอร์ดซัดชัย! แมนยูบุกเชือดปารีสหวิว-บรูโน่กดโทษ เตลลิสประเดิม

"ผีแดง" งัดฟอร์มเฉียบหลังบุกไปเอาชนะเจ้าถิ่น ปารีส แซงต์-แชร์กแมง หวุดหวิด 2-1 เกมนี้ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ยิงจุดโทษขึ้นนำทว่า อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล มาโขกเข้าประตูตัวเอง ก่อนที่ช่วงท้ายเกม มาร์คัส แรชฟอร์ด จะเป็นฮีโร่ยิงประตูชัยให้ แมนฯยูไนเต็ด บุกมาคว้าสามแต้ม ประเดิมนัดแรก ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม เมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา
สนาม : ปาร์ก เดส์ แพร็งซ์

    ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม เมื่อคืนวันอังคารที่ 20 ตุลาคมที่ผ่านมา เป็นการแข่งขัน นัดแรกของกลุ่ม เอช ระหว่าง ปารีส แซงต์-แชร์กแมง เปิดรังพบ แมนฯยูไนเต็ด

    โธมัส ทูเคิ่ล ส่งสามแนวรุกอย่าง อังเคล ดิ มาเรีย, คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ และ เนย์มาร์ ล่าตาข่าย ขณะที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา บอสใหญ่ "ผีแดง" ใช้ระบบ 3-4-1-2 อเล็กซ์ เตลลิส ประเดิมนัดแรกด้วยการยืนวิงซ้าย โดยใช้ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ปั้นเกมให้มาร์คัส แรชฟอร์ด และ อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล
   
    เริ่มเกมมา นาที 12 เจ้าบ้าน เปแอสเช เกือบชิงขึ้นนำไปก่อน จากจังหวะที่ อังเคล ดิ มาเรีย ลากตัดจากขวาเข้ากลางมาปั่นด้วยซ้าย แต่บอลยังไม่ผ่านมือ ดาบิด เด เคอา ที่พุ่งปัดออกไปได้

    ไม่ถึงนาทีถัดมา "ผีแดง" เกือบเสียท่าอีกหลังบอลครอสมาในกรอบ 6 หลา เลย์วิน คูร์ซาว่า พุ่งเข้าชาร์จแต่บอลยังไปติดตัว เด เคอา ก่อนพุ่งตะครุบไว้ได้ทัน

    ทว่าโอกาสลุ้นครั้งแรกของ "ผีแดง" นาที 20 มาได้ลูกที่จุดโทษทันที หลัง ลุค ชอว์ แทงบอลให้ อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล พลิกบอลแต่โดน อับดู ดิยัลโล่ พุ่งมาอัดจนล้ม เชิ้ตดำชาวสเปนเป่าเป็นจุดโทษทันที ทว่า บรูโน่ แฟร์นันด์ส ยิงไม่ดีไปติดเซฟของ เกย์ลอร์ นาวาส กระนั้นไลน์แมนและ VAR ให้สัญญาณว่า นาวาส ออกมาจากเส้นก่อนทำให้ต้องยิงใหม่ และคราวนี้ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ยิงไม่พลาดซัดไปทางขวามือตัวเองเข้าไปให้ "ปีศาจแดง" บุกนำ 1-0 ในนาที 23

    นาที 32 เจ้าบ้านกดดันอย่างหนัก บอลขึ้นทาง เนย์มาร์ ครอสเข้าไปในกรอบ 6 หลาอย่างน่ากลัว บอลตกพื้นจะถึง เอ็มบั๊ปเป้ แต่ยังดีที่ วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ พุ่งมาสกัดได้ทันหวุดหวิด

    นาที 39 ทีมเยือนเกือบได้เม็ดที่สองนำห่าง อเล็กซ์ เตลลิส ไหลเข้ากลางให้ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ซัดด้วยขวานอกกรอบ ทว่า เกย์ลอร์ นาวาส  นายด่านปารีสฯยังไวพุ่งปัดออกหลังหวุดหวิด

    และจากลูกคอนเนอร์ในจังหวะต่อมา อเล็กซ์ เตลลิส เปิดบอลโค้งเข้าไปเสาแรกให้ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ สะบัดโขกเต็มแรงบอลไปชน อับดู ดิยัลโล่ ก่อนบอลเปลี่ยนทางถากเสาแรกไปแบบได้เสียว

    จบครึ่งแรก ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ตามหลัง แมนฯยูไนเต็ด 0-1
   
    ครึ่งหลัง ทั้งสองทีมยังไม่มีการเปลี่ยนตัว นาที 46 "ผีแดง" พลาดโอกาสได้ลุ้นเม็ดที่สองอย่างน่าเสียดาย หลัง มาร์คัส แรชฟอร์ด หลุดเข้าไปดวลกับแนวรรับเจ้าถิ่นแต่จังหวะจ่ายบอลขึ้นหน้าทำได้ไม่ดีพอ

    นาที 48 เปแอสเช ได้สวนขึ้นมาและเกือบได้ลุ้นตีเสมอ คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ กระชากจากซ้ายหนีทั้ง สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ และวาน บิสซาก้า ก่อนจะตะบันด้วยขวาเต็มแรง บอลพุ่งจน เด เคอา ต้องพุ่งชกออกไป

    นาที 55 เปแอสเช มาไล่ตีเสมอ 1-1 จนได้ จากจังหวะลูกเตะมุมฝั่งซ้าย เนย์มาร์ เปิดไปเสาแรก ทว่า  อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล พยายามโขกสกัดแต่กลายเป็นเช็ดบอลเข้าประตูตัวเองไป

    นาที 67 "ผีแดง" ปรับหมากส่ง ปอล ป็อกบา ลงไปเล่นแทน อเล็กซ์ เตลลิส

    อีกสองนาทีต่อมา แรชฟอร์ด เกือบส่องให้ทีมขึ้นนำอีกครั้ง หลังอัดด้วยขวานอกกรอบแต่บอลยังไปติดเซฟของ นาวาส

    นาที 80  แรชฟอร์ด มีโอกาสอีกครั้ง คราวนี้กดด้วยซ้ายนอกกรอบแต่บอลยังไม่ผ่านมือ เกย์ลอร์ นาวาส

     อีก 3 นาทีถัดมา "เปแอสเช" ได้สวนกลับ เนย์มาร์ ลองกดด้วยขวานอกกรอบเต็มแรงบอลพุ่งจน ดาบิด เด เคอา ต้องทุบออกไป

    นาที 87 "ผีแดง" มาเฮกันลั่นหลังแซงขึ้นนำ 2-1 อีกครั้ง จากจังหวะที่ ปอล ป็อกบา ไหลบอลออกขวาให้ มาร์คัส แรชฟอร์ด พลิกตัวหนี ดานิโล่ ก่อนตะบันด้วยขวาหนีมือ นาวาส ส่งบอลเสียบเสาไกลอย่างเฉียบขาด

    จบเกม  ปารีส แซงต์-แชร์กแมง แพ้คาบ้านให้ แมนฯยูไนเต็ด 1-2 ส่งให้ "ผีแดง" คว้าสามแต้มแรกประเดิมสนามนัดแรกสำเร็จ

    รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม

         ปารีส แซงต์-แชร์กแมง (4-3-3) : เกย์ลอร์ นาวาส – อเลสซานโดร ฟลอเรนซี่, อับดู ดิยัลโล่, เพรสแนล คิมเพมเบ้, เลย์วิน คูร์ซาว่า  – อันเดร์ เอร์เรร่า, อิดริสซ่า กาน่า เกย, ดานิโล่ เปเรยร่า – อังเคล ดิ มาเรีย, คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้, เนย์มาร์

         ผู้จัดการทีม : โธมัส ทูเคิ่ล

         แมนฯยูไนเต็ด (3-4-1-2) : ดาบิด เด เคอา – อั๊กเซล ตวนเซเบ้, วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ, ลุค ชอว์ – อารอน วาน-บิสซาก้า, สกอตต์ แม็คโทมิเนย์, เฟร็ด, อเล็กซ์ เตลลิส – บรูโน่ แฟร์นันด์ส – มาร์คัส แรชฟอร์ด, อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล

         ผู้จัดการทีม : โอเล่ กุนนาร์ โซลชา

         ผู้ตัดสิน : อันโตนิโอ มาเตว ลาโอซ (สเปน)

ปาร์เตย์นำทัพ! อาร์เซน่อลขอชัยบุกปะทะราปิดเปิดหัวยูโรปาลีก

"ปืนใหญ่" อาร์เซน่อล เกมลีกแพ้มา งานนี้มีภารกิจบอลยุโรปถ้วยเล็ก โธมัส ปาร์เตย์ ลงยืนคุมแดนกลางนำทีมลุยเจ้าบ้าน ราปิด เวียนนา ทีมแกร่งจากออสเตรียที่ฟอร์มเพิ่งดุดัน ในการแข่งขันฟุตบอลยูโรปาลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม บี นัดแรก คืนวันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม 2563
ปรีวิวยูโรปาลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม บี นัดแรก
วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม 2563
ราปิด เวียนนา (ออสเตรีย )- อาร์เซน่อล (อังกฤษ)
เวลา : 23.55 น.
สนาม : อัลลิอันซ์ สตาดิโอน

    ราปิด เวียนนา ไล่อัดเวียเนอร์ นอยสตัดท์ 5-1 ในศึกออสเตรีย คัพ ล่าสุด และชนะ 3 นัดติดต่อกัน กุนซือ ดีทมาร์ คูห์เบาเออร์ ไร้ปัญหารบกวนเพิ่มเติมแม้มีรายงานว่านักเตะ   รายนึงที่ไม่มีการเผยชื่อ ติดโควิดก็ตาม แต่ไม่ได้อยู่ใกล้ชิดเพื่อนร่วมทีมคนอื่น ๆ 

    ส่วนตัวหลักรายอื่น ๆ ต่างพร้อมช่วยทีมเหมือนเดิม นำโดย ฟิลิป สตอยโควิช, มักซิมิเลียน โฮฟมันน์, เซอร์ดาน กราโฮวัช, เดยัน ลูบิซิช, ฟิลิปป์ โชเบสแบร์เกอร์ และ ทาเซียร์ชิส โฟอุนตาส 

อาร์เซน่อล พ่ายแมนฯ ซิตี้ 0-1 ในพรีเมียร์ลีกล่าสุด และเป็นการแพ้นัดแรกในรอบ 3 เกม กุนซือ มิเกล อาร์เตต้า ปราศจาก โซคราติส ปาปาสตาโธปูลอส และ เมซุต โอซิล ที่ไม่ได้ใส่ชื่อไว้

    ส่วน โธมัส ปาร์เตย์ กองกลางตัวใหม่ น่าจะได้ออกสตาร์ต เช่นเดียวกับบรรดาดาวรุ่งอย่าง รีสส์ เนลสัน, เอ็ดดี้ เอ็นเคเทียห์ และ โจ วิลล็อค ก็น่าจะได้มีส่วนร่วมทั้งหมด
   
11 นักเตะตามคาด   
   
    ราปิด เวียนนา (3-4-3) : ริชาร์ด สเตรบิงเกอร์ – ฟิลิป สตอยโควิช, มักซิมิเลียน โฮฟมันน์, มาเตโอ บารัช – เคลวิน อราเซ่, เซอร์ดาน กราโฮวัช, เดยัน ลูบิซิช, มักซิมิเลียน อูลล์มันน์ – ฟิลิปป์ โชเบสแบร์เกอร์, เออร์คาน คาร่า, ทาเซียร์ชิส โฟอุนตาส

    เทรนเนอร์ : ดีทมาร์ คูห์เบาเออร์

    อาร์เซน่อล (3-4-2-1) : รูนาร์ รูนาร์สสัน – ดาวิด ลุยซ์, กาเบรียล มากัลเญส, เซอัด โคลาซินัช – เซดริก โซอาเรส, โมฮาเหม็ด เอลเนนี่, โธมัส ปาร์เตย์, เอนสลี่ย์ เมทแลนด์-ไนลส์ – โจ วิลล็อค, รีสส์ เนลสัน – เอ็ดดี้ เอ็นเคเทียห์

    เทรนเนอร์ : มิเกล อาร์เตต้า    

    ผู้ตัดสิน : พาเวล คราโลเว็ช (เช็ก)